ลูกแฝดแท้ ลูกแฝดเทียม ด้วยการทำicsi ทำivfคืออะไร
เรื่องน่ารู้คู่รักที่อยากมีบุตรเป็นฝาแฝดด้วยการทำicsi ทำivf
ยิ่งนับวันอัตราการเกิดของเด็กฝาแฝดก็จะเพิ่มมากขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ การทำivf และ ทำicsi หรือการทำเด็กหลอดแก้ว ช่วยทำให้คู่รักที่เป็นคนรุ่นใหม่ปรารถนาอยากมีบุตรเป็นฝาแฝด ประสบความสำเร็จกับการตั้งครรภ์ และอีกปัจจัยหนึ่งมาจากคู่รักที่มีลูกยากและอยากมีลูกและตัดสินใจรักษาภาวะมีบุตรยาก จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า เทรนด์อยากมีบุตรฝาแฝดเป็นอุบัติการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น สำหรับอัตราการเกิดฝาแฝดสถิติประเทศไทยในอดีตจะพบว่า การตั้งครรภ์แฝดสองจะอยู่ในอัตรา 1 ต่อ 89 นั่นหมายความว่า ในจำนวนคุณแม่ที่มีครรภ์เดี่ยว 89 ราย จะพบครรภ์แฝดสอง 1 ราย ส่วนครรภ์แฝดสามจะพบได้ยากยิ่งขึ้นในอัตรา 1 ต่อ 892 หรือราว 1 ต่อ 7,921 ราย ส่วนแฝด 4 นี่ยิ่งยากมากขึ้นไปอีกราว 1 เพื่อไขข้อสงสัยคู่รักสำหรับที่ปรารถนาอยากมีบุตรฝาแฝด และคู่รักที่มีลูกยากและอยากมีลูก โดยทำการรักษาภาวะเจริญพันธ์ุด้วยการทำivf และ ทำicsi หรือทำเด็กหลอดแก้ว มาทำความรู้จักการตั้งครรภ์ฝาแฝดมีด้วยกัน 2 ประเภท ดังนี้ 1.แฝดแท้…
เทรนด์ยุคใหม่กับการฝากไข่
ฝากไข่ เทรนด์ของผู้หญิงยุคใหม่ ดีไซน์ชีวิตมีลูกเมื่อพร้อมได้
หลายปีที่ผ่านมานี้ เทรนด์การฝากไข่ หรือการแช่แข็งไข่ (Egg Freezing) เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในหลากหลายประเทศ ทั้งยุโรปและเฉพาะอเมริกา เพราะด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงยุคใหม่ที่อยากมีลูกเมื่อพร้อม ซึ่งต้องบอกว่ามีบรรดาสาวๆ คนดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น ‘Amy Hart’ นักแสดงฮอลลีวู้ดคนดัง หรือJessica Wright เป็นนักแสดงโทรทัศน์ชาวอังกฤษ ก็ออกมาเปิดเผยถึงการตัดสินใจฝากไข่ด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับในฝั่งของเอเชียจะพบว่า การฝากไข่ได้รับความนิยมในคนจีนมากขึ้น สำหรับประเทศไทย เทรนด์การฝากไข่ หรือการแช่แข็งไข่ (egg freezing) ยังเป็นเรื่องใหม่ในกลุ่มผู้หญิงไทยอยู่มิใช่น้อย แต่ก็กลายเป็นเทรนด์ที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งมุมมองของผู้หญิงหลายๆ คนที่มีความต้องการ egg frezzing เปรียบสมือนการซื้อเวลาให้ตัวเอง เพื่อมีลูกเมื่อพร้อมในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากการฝากไข่ คือ กระบวนการวิทยาศาสตร์ที่ช่วยเก็บไข่ที่แข็งแรง มีความสมบูรณ์เพื่อพร้อมที่จะเจริญพันธุ์ในอนาคต ฝากไข่เป็นเทรนด์ของผู้หญิงยุคใหม่ การฝากไข่ คือ การแช่แข็งเก็บรักษาเซลล์ไข่ หรือ egg freezing เป็นการเก็บรักษาเซลล์ไข่ไว้ใช้เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ในเวลาที่พร้อม เพราะการแช่แข็งไข่ไม่จำเป็นต้องใช้สเปิร์ม ไข่จะถูกแช่แข็งโดยไม่ได้ปฏิสนธิ และสามารถเก็บไว้ได้ในภายหลัง…
การทำ ivf และ icsi คุณแม่สามารถทำได้กี่ครั้ง
ไขข้อข้องใจ ทำivf และ icsi สามารถทำได้กี่ครั้งกันแน่
คู่รักที่ประสบกับภาวะมีบุตรยากและอยากมีลูก หลายคู่กำลังอยู่ระหว่างต้ดสินใจทำ ivf และ icsi หรือกำลังอยู่ระหว่างการรักษาภาวะมีบุตรยาก บ่อยครั้งที่คู่รักหลายคู่อาจมีความสงสัยว่าเมื่อทำ ivf และ icsi ควรจะต้องทำกี่รอบจึงจะมีโอกาสที่ประสบความสำเร็จการตั้งครรภ์ และเมื่อต้องทำหลายครั้งๆ นั้นจะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือไม่ สำหรับการทำ ivf และ icsi หรือการทำเด็กหลอดแก้วนั้น การรักษาภาวะมีบุตรยากของทางการแพทย์นั้น ไม่ได้มีการกำหนดไว้ว่าควรทำได้กี่ครั้ง ดังนั้นคู่รักที่มีลูกยากและอยากมีลูก สามารถทำหลายๆ ครั้งได้ตามความต้องการและงบประมาณค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับสถานะครอบครัว เพราะการทำ ivf และicsi ไม่ได้มีผลเสียต่อสุขภาพของฝ่ายหญิง แม้ว่าจะต้องกระตุ้นไข่บ่อยครั้งก็ตาม ทำ ivf และ icsi หลายครั้งเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์จริงหรือไม่ งานวิจัยจากอังกฤษ ผู้หญิงที่มีการรักษาภาวะการเจริญพันธุ์และตัดสินใจทำ ivf รวมทัั้งหมดจำนวน 184,269 รอบ พบว่าโอกาสการตั้งครรภ์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 29% หลังจากทำ…
ข้อดีของการทำ IUI
ทางเลือกคู่รักอยากมีลูก ทำ IUI ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์มากกว่ามีเพศสัมพันธ์เอง
การทำ IUI เป็นการรักษาภาวะมีบุตรยากประเภทหนึ่งสำหรับคู่รัก ที่ต้องเผชิญกับภาวะมีบุตรยากโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งจุดประสงค์หลักของการทำ IUI ก็เพื่อเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิโดยการเพิ่มจำนวนของตัวอสุจิที่เดินทางไปยังท่อนำไข่ก็คือเป็นการเพิ่มจำนวนสเปิร์มเพื่อการปฏิสนธิ สำหรับการทำ IUI ถือว่าเป็นการเลียนแบบการมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติมากที่สุด และอัตราการประสบความสำเร็จของผู้ที่ทำ IUI จะมากกว่าการปฏิสนธิแบบธรรมชาติประมาณ 2 เท่า ดังนั้น IUI จึงมักเป็นวิธีแรกๆ ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่มีลูกยากและอยากมีลูกทำ ทำความรู้จัก IUI คืออะไร? IUI ย่อมาจาก Intrauterine Insemination เป็นการฉีดเชื้ออสุจิที่ผ่านการคัดกรองตัวที่แข็งแรงเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรง ซึ่งจะใช้ท่อพลาสติกขนาดเล็กสอดผ่านปากมดลูก แล้วฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกช่วงที่ไข่ตกหรือใกล้กับเวลาที่มีไข่ตก โดยตัวอสุจิจะว่ายไปปฏิสนธิกับไข่ที่ท่อนำไข่เอง โดยขั้นตอนการทำ IUI มีดังนี้ การทำ IUI เริ่มต้นที่ แพทย์จะทำการกระตุ้นไข่ด้วยยาปริมาณน้อย เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างจำนวนไข่มากกว่า 1 ฟอง และต้องไม่มากเกินไป เพื่อลดความเสี่ยงตั้งครรภ์แฝด จากนั้นจะทำการตรวจวัดขนาดของถุงไข่ด้วยการอัลตร้าซาวด์ เพื่อความแม่นยำว่าในรอบที่ทำจะมีโอกาสเกิดไข่โตเต็มวัยกี่ฟอง และทำการฉีดยากำหนดให้ไข่ตก ขั้นตอนต่อไป…
ความแตกต่างของการฝากไข่ และ ฝากตัวอ่อน ฝากไข่ VS ฝากตัวอ่อน แบบไหนเหมาะกับแผนมีลูกเมื่อพร้อม ‘การฝากไข่’ กับ ‘การฝากตัวอ่อน’ มีความแตกต่างกันอย่างไร ผู้หญิงหลายๆ คน รวมทั้งคู่รักหลายคู่ที่ตัดสินใจมีลูกเมื่อพร้อมอย่างการฝากไข่ หรือวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การฉีดน้ำเชื้อ IUI การทำเด็กหลอดแก้ว IVF ICSI อาจกำลังจะสับสนอยู่ และเพื่อไขข้อสงสัย เรามาเจาะลึกถึงการฝากไข่เทียบกับฝากตัวอ่อนกัน เพื่อช่วยให้ผู้หญิงและคู่รักสินใจว่ากระบวนการใดที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง ที่ผ่านมาหลายคนเชื่อว่า การนำตัวอ่อนไปแช่แข็งนั้น มีแนวโน้มที่จะทำให้ประสบความสำเร็จการตั้งครรภ์มากกว่าการฝากไข่ ซึ่งการแช่แข็งไข่ egg freezing แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการแช่แข็งตัวอ่อน โดยปกติแล้วต้องใช้ไข่หลายฟองเพื่อให้ได้ตัวอ่อน 1 ตัว ดังนั้นการตั้งครรภ์ไม่ว่าจะด้วยกระบวนการฝากไข่หรือฝากตัวอ่อน คุณก็มีโอกาสตั้งครรภ์ได้เช่นกัน ฝากไข่ VS ฝากตัวอ่อน แตกต่างอย่างไร กระบวนการฝากไข่กับฝากตัวอ่อน ขั้นตอนของทั้งสองแบบเริ่มต้นด้วยวิธีพื้นฐานเดียวกัน คือ ฉีดฮอร์โมนเป็นเวลา 8-12 วัน เพื่อกระตุ้นรังไข่ให้ผลิตไข่หลายฟอง (ไข่หลายฟองมีความสำคัญเพราะไม่ใช่ไข่ทุกฟองที่จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ แม้ว่าคุณจะอายุน้อยก็ตาม ดังนั้นการแช่แข็งไข่ egg freezing…
ข้อควรปฏิบัติสำหรับคุณแม่หลังใส่ตัวอ่อน แนะนำ 9 ข้อควรปฏิบัติสำหรับคุณแม่มีบุตรยาก หลังใส่ตัวอ่อน การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ Assisted reproductive technology (ART) การทำ IVF/ICSI นับได้ว่าเป็นวิธีการที่มีความละเอียดอ่อนและจะต้องอาศัยความเอาใจใส่เป็นอย่างมากในทุก ๆ ด้าน เพราะฉะนั้นแล้วคุณแม่ที่อยากมีลูกจึงจำเป็นที่จะต้องมีการดูแล และมีความระมัดระวังเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองที่มากขึ้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ได้มีการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูกใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้ตัวอ่อนสามารถฝังตัวเข้าสู่โพรงมดลูก และเจริญเติบโตขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรงมากที่สุด วันนี้ Genesis Fertility Center จึงมีข้อแนะนำและข้อควรปฏิบัติที่จำเป็นสำหรับคุณแม่หลังใส่ตัวอ่อน มาฝากคุณแม่มือใหม่ทุกคนกันค่ะ 9 ข้อควรปฏิบัติสำหรับคุณแม่มีบุตรยาก หลังใส่ตัวอ่อน 1.พยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด ช่วงเวลา 3-5 วันแรกหลังจากที่คุณแม่มีบุตรยากได้ทำการใส่ตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก นับได้ว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีความสำคัญมากที่สุดต่อโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ เพราะฉะนั้นแล้วในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ควรเคลื่อนไหวร่างกายในระดับที่เหมาะสม งดการเดินหรือยืนนาน ๆ รวมถึงงดการขึ้น-ลงบันไดบ่อย ๆ และพยายามหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวร่างกายแบบหนัก ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อป้องกันให้มดลูกของคุณแม่มีบุตรยากเกิดการบีบตัวหรือเกร็งตัวจนรบกวนต่อการฝังตัวของตัวอ่อน 2.หลีกเลี่ยงการนอนติดเตียง แม้ว่าคุณแม่มีบุตรยากที่เพิ่งผ่านการทำเด็กหลอดแก้ว และใส่ตัวอ่อนควรจะพยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด แต่อย่างไรก็ตามการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย และปฏิบัติตัวเหมือนกับเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกับคุณแม่เช่นกัน เพราะนอกจากการนอนนิ่ง ๆ เป็นระยะเวลานาน…
ทำไมคุณแม่อายุมากกว่า 35 ถึงควรตรวจโครโมโซมตัวอ่อน NGS
ตรวจโครโมโซมตัวอ่อน NGS เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อย
หลังจากที่ตัดสินใจแต่งงานและสร้างครอบครัวด้วยกัน แน่นอนว่าคู่รักหลาย ๆ คู่ก็ย่อมที่จะอยากมีลูกน้อยมาเป็นโซ่ทองคล้องใจและเติมเต็มคำว่าครอบครัวให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนี้ ด้วยรูปแบบในการดำเนินชีวิต ตลอดจนปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากในอดีต ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ตัดสินใจที่จะแต่งงานและเริ่มต้นสร้างครอบครัวช้าลงจนนำไปสู่การตัดสินใจมีลูกที่เริ่มช้าลงตามไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาที่ตามมานั้นก็คงหนีไม่พ้นปัญหาการมีบุตรยาก และความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติกับทารกหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ที่มากยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นแล้วการเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ด้วยการเข้ารับการตรวจคัดกรองเพื่อหาความผิดปกติต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่เข้ารับการทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI เพื่อช่วยแก้ไขปัญหามีบุตรยากจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกครอบครัวไม่ควรมองข้ามไป โดยในวันนี้ Genesis Fertility Center จะขอพาว่าที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนมาเจาะลึกเกี่ยวกับหนึ่งในการตรวจที่สำคัญอย่าง “การตรวจโครโมโซมตัวอ่อน” ที่จะช่วยให้คุณแม่สามารถตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย และช่วยให้เจ้าตัวเล็กเติบโตขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรงมากที่สุด
การตรวจโครโมโซมตัวอ่อน NGS คืออะไร ?
การตรวจโครโมโซมตัวอ่อน NGS คือ การตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมตัวอ่อนก่อนตัดสินใจย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก เพื่อประโยชน์ในการช่วยรักษาภาวะมีบุตรยากและช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จให้กับการทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI รวมไปถึงการช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่มากยิ่งขึ้น ตลอดจนเพื่อเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่ลูกน้อยจะได้รับการถ่ายทอดความผิดปกติทางพันธุกรรมจนนำไปสู่การเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของโครโมโซม อาทิ ดาวน์ซินโดรม พาทัวซินโดรม เทอเนอร์ซินโดรม หรือโรคทางพันธุกรรม อาทิ โรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น…
ทำไมต้องเตรียมผนังมดลูกก่อนการทำเด็กหลอดแก้ว
เด็กหลอดแก้ว IVF ICSI เตรียมผนังมดลูกให้พร้อมช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์
ทุกกระบวนของการทำเด็กหลอดแก้ว ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จการตั้งครรภ์สำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากและอยากมีลูกทั้งสิ้น แม้กระทั่งการเตรียมความของผนังมดลูกของฝ่ายหญิง ก่อนที่จะเข้าสู่การทำเด็กหลอดแก้ว IVF ICSI ผนังมดลูกหรือเยื่อบุโพรงลูกของผู้หญิง มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเปรียบเสมือนเป็นบ้านของตัวอ่อน ดังนั้นหากบ้านมีความอบอุ่นและแข็งแรงทำให้ลูกน้อยสามารถเจริญเติบโตได้ดีนั่นเอง ถ้ามีปัจจัยที่ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูก หรือโพรงมดลูกมีปัญหา อาจทำให้ตัวอ่อนไม่ฝังตัวหรือฝังตัวแล้วไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่
ผนังมดลูก มีความสำคัญอย่างไร
ผนังมดลูก เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกหรือเยื่อบุผิวของผนังด้านในของมดลูกของฝ่ายหญิง ในแต่ละเดือนเมื่อรังไข่ปล่อยไข่ออกมา เยื่อบุโพรงมดลูกจะหนาตัวขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นตัวอ่อน หากไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ เยื่อบุจะหลุดออกจากช่องคลอด ซึ่งหน้าที่ของเยื่อบุมดลูก คือ ทำการหล่อเลี้ยงตัวอ่อนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของการตั้งครรภ์ หากผู้ที่ทำเด็กหลอดแก้ว ทำเด็กหลอดแก้ว IVF ICSI มีเยื่อบุผิวที่มีความบางหรือน้อยกว่า 7 มิลลิเมตร ร่างกายจะไม่สามารถหล่อเลี้ยงตัวอ่อนและทารกในครรภ์ที่กำลังเติบโตได้ ความหนาของเยื่อบุจึงมีความสำคัญมาก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ จะทำการวัดความหนาของเยื่อบุก่อนการย้ายตัวอ่อน เพื่อให้แน่ใจว่ามีความหนาเพียงพอที่จะฝังตัวได้ โดยผนังมดลูกที่สมบูรณ์พร้อมตามเกณฑ์ที่เหมาะสมในการฝังตัวของตัวอ่อน ควรมีลักษณะดังนี้ · ผนังมดลูกที่มีความหนา เปิดกว้าง และหล่อเลี้ยงเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับตัวอ่อน · ผนังมดลูกควรหนาอย่างน้อย 7 - 8 มิลลิเมตร (ไม่ควรหนาเกิน 14…
ทานยาคุมกำเนิดมีผลต่อการทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI หรือไม่
ทานยาคุมกำเนิด เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์สำหรับผู้ที่ทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI
การกินยาคุมกำเนิด ดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีการที่สวนทางหรือผิดวัตถุประสงค์ สำหรับคู่รักที่มีลูกยากและอยากมีลูก และตัดสินใจใช้เทคโนโลยีเจริญพันธุ์ด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI ซึ่งในทางการแพทย์แล้วนั้น การทานยาคุมกำเนิดสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการมีบุตร แต่การทานยาคุมกำเนิดถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นก่อนเข้าสู่กระบวนการเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI
ทำไมต้องทานยาคุมกำเนิด เพราะการทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดการควบคุมช่วงเวลาของการตกไข่ เพราะเป็นหนึ่งในกระบวนการที่ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จได้ แพทย์ที่ดูแลคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก จึงมักแนะนำทานยาคุมกำเนิด (Birth control pill) ก่อนเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว
ยาคุมกำเนิดทำงานอย่างไร
การทานยาคุมกำเนิด (Birth control pill) เป็นวิธีคุมกำเนิดฮอร์โมนเพศหญิง คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพื่อออกฤทธิ์ต่อการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ยับยั้งการตกไข่ โดยจะมีผลต่อผนังมดลูก ทำให้ผนังมดลูกบางจนตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวได้ ทำให้ไม่มีการตกไข่ หรือมีผลในการยับยั้งกระบวนการก่อนเกิดการปฏิสนธิ (fertilization) ท่อนำไข่เคลื่อนไหวน้อย ทำให้ไข่ที่ถูกผสมไม่ทันฝังตัวเกิดมูกหรือเมือกที่ปากมดลูก และทำให้ปากมดลูกมีความเหนียวข้นส่งผลให้อสุจิเคลื่อนผ่านเข้าไปได้ยากขึ้น โดยยาคุมกำเนิดมีด้วยกัน 2 ประเภทได้แก่
· ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม…
ตรวจโครโมโซมตัวอ่อนก่อนนำไปย้ายดีหรือไม่
ทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI ตรวจโครโมโซมตัวอ่อนก่อนนำไปย้ายสู่โพรงมดลูกดีหรือไม่
บ่อยครั้งที่คู่รักที่มีลูกยากและอยากมีลูก และตัดสินใจทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI มักตั้งคำถามที่ว่า “เราควรตรวจโครโมโซมตัวอ่อนนำไปย้ายดีหรือไม่” ในทางการแพทย์การตรวจคัดกรองโครโมโซมของตัวอ่อนเป็นทางเลือกหนึ่งของการการรักษาภาวะมีบุตรยาก โดยขึ้นอยู่กับความประสงค์ของคู่รักในแต่ละราย ซี่งการตรวจโครโมโซมก็มีทั้งด้านที่ดี และการไม่ตรวจโครโมโซมก็มีด้านดีด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของคู่รักแต่ละคู่
แต่ก่อนที่คู่รักจะตัดสินใจตรวจโครโมโซมตัวอ่อนหรือไม่นั้น คู่รักควรทำการศึกษาข้อมูลถึงข้อดีหากตรวจโครโมโซมตัวอ่อน กับข้อดีหากไม่ตรวจโครโซมตัวอ่อน เพื่อคู่รักจะได้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจว่า ต้องการจะทำการตรวจคัดกรองโครโมโซมของตัวอ่อนหรือไม่ โดยมีสิ่งที่ควรพิจารณาประกอบตัดสินใจตรวจโครโมโซมตัวอ่อน มีดังนี้
· ความเสี่ยงในการตัดดึงเซลล์ตัวอ่อน (Embryo Biopsy) การดึงเซลล์ตัวอ่อน 1-2 เซลล์จากตัวอ่อนระยะวันที่ 3 (ซึ่งปกติมี 8 เซลล์) อาจทำให้ตัวอ่อนหยุดการเจริญได้ทั้งก่อนหรือหลังการย้ายตัวอ่อนกลับ แต่โอกาสที่จะเกิดน้อยมาก เมื่อถึงเซลล์ในระยะวันที่ 5 หรือวันที่ 6 จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าการตัดเซลล์ตัวอ่อนทำให้ได้ทารกที่มีความผิดปกติ
· ห้องแล็ปตรวจโครโมโซมตัวอ่อนต้องมีศักยภาพและต้องมาตรฐานที่ดี เพื่อการตรวจโครโมโซมตัวอ่อนที่ดีเพียงพอ เพราะหากห้องแล็ปไม่ได้มาตรฐานเพียง จะทำให้ตัวอ่อนมีโอกาสเสี่ยงบอบช้ำหรือตายได้ในที่สุด
· ตัวอ่อนเจริญเติบโตดีและมีเกรดระดับดี กรณีที่ตรวจอ่อนมีเกรดระดับดีและมีการเจริญเติบโตที่ดีนั้น สามารถนำไปตรวจโครโมโซมตัวอ่อนก่อนย้ายเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิงได้
· ตัวอ่อนอยู่ภาวะที่มีการเจริญเติบโตช้าและเกรดไม่ดี ในกรณีนี้ไม่แนะนำให้นำตัวอ่อนไปตรวจโครโมโซม เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะเป็นโครโมโซมตัวอ่อนจะมีความผิดปกติสูง ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมโดยใช่เหตุ
· ผู้หญิงที่มีอายุมาก ผู้หญิงไม่ว่าจะมีอายุน้อยหรือมากมีความเสี่ยงที่โครโมโซมตัวอ่อนจะผิดปกติ หากแต่ว่าผู้หญิงที่มีอายุ…
ฝากไข่ตั้งแต่เนินๆ ลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์
ทำไมต้องฝากไข่แต่เนินๆ เรื่องน่ารู้ของผู้หญิงยุคใหม่ที่ต้องการวางแผนมีลูกในอนาคต
การฝากไข่ หรือ Egg Freezing ของผู้หญิง เปรียบเหมือนกับการซื้อประกันรองรับความเสี่ยงในอนาคต สำหรับคู่รักที่ประสบกับปัญหาทางด้านสุขภาพในโรคต่างๆ หรือมีภาวะมีบุตรยาก จนไปถึงผู้ต้องการวางแผนครอบครัวและอยากมีลูกเมื่อพร้อมในอนาคต เพราะการฝากไข่ จะถูกเก็บรักษาไว้คงสภาพเดิมได้ยาวนานถึง 5 - 10 ปี โดยขึ้นอยู่กับอายุและความพร้อมของร่ายกาย และเมื่อถึงเวลาพร้อมหรืออยากมีลูกก็นำออกมาเพื่อเข้าสู่การกระบวนการตั้งครรภ์ด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI
หากแต่ว่าการที่คู่รักมีลูกยากและอยากมีลูก หรือผู้ที่ต้องการวางแผนครอบครัวอยากมีลูกเมื่อพร้อมในอนาคต จะประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ได้สูงนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วย ไม่ว่าจะเป็น ในด้านอายุและความพร้อมของร่ายกาย รวมทั้งช่วงเวลาของการฝากไข่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยด้วยเช่นเดียวกัน โดยในทางการแพทย์นั้น ‘การฝากไข่’ ซึ่งขึ้นอยู่กับช่วงอายุของผู้หญิง ยิ่งมีอายุน้อยๆ เท่าไร ก็มีโอกาสที่จะได้ไข่คุณภาพดีและมีไข่จำนวนมากนั่นเอง
5 เหตุผลสำคัญต้องฝากไข่ตั้งแต่เนิ่นๆ
การฝากไข่ของผู้หญิง สามารถทำได้ตั้งแต่ฝ่ายหญิงเริ่มมีประจำเดือน แต่ในช่วงอายุที่เหมาะสม ที่ไข่จะมีคุณภาพดีเหมาะสมที่สุดในการตั้งครรภ์คือ ช่วงวัยเจริญพันธุ์อายุ 22-28 ปี และเมื่อผู้หญิงเริ่มมีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป ปริมาณไข่จะเริ่มลดน้อยลง ดังนั้นหากคู่รักที่มีภาวะมีลูกยากและอยากมีลูก วางแผนฝากไข่และการทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI เมื่อพร้อมมีลูก ควรดำเนินการตั้งแต่เนิ่นๆ…
การแบ่งเกรดตัวอ่อนวัดจากอะไร
เกรดตัวอ่อน มีความสำคัญต่อการทำเด็กหลอดแก้ว ICSI IVF
เมื่อพูดถึงกระบวนการคัดเลือกตัวอ่อน ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำเด็กหลอดแก้ว IVF / ICSI คู่รักหลายคู่ที่ประสบกับภาวะมีบุตรยากและอยากมีลูก จึงมักตั้งคำถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ‘ตัวอ่อน’ นั้นเป็นตัวอ่อนที่ดีก่อนที่จะย้ายเข้าสู่โพรงมดลูก เพราะการที่จะประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับตัวอ่อนที่มีคุณภาพ ก่อนอื่นคู่รักที่มีลูกยากและอยากมีลูกควรทำความเข้าใจก่อนว่า การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว IVF / ICSI ภายหลังจากที่ไข่ผสมกับสเปิร์มแล้ว แพทย์จะนำไปเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการโดยนักเพาะเลี้ยงตัวอ่อนจะดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งในระยะเวลาพัฒนาตัวอ่อนก็อยู่ที่ประมาณ 5-6 วัน ในช่วงนี้ก็จะมีการแบ่งเกรดของตัวอ่อน ด้วยกัน 2 ระยะ ดังนี้
1.ระยะคลีเวจ (Cleavage)
เป็นระยะที่ตัวอ่อนเกิดการแบ่งตัว เป็นระยะหลังไข่กับสเปิร์มผสมกันแล้ว 24 - 72 ชั่วโมงเป็นระยะที่ไข่กับสเปิร์มผสมกันแล้ว 24 ชั่วโมงเป็นต้นไป จนไปถึงไม่เกินวันที่ 4 จะแบ่งเกรด โดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากลจากเกณฑ์การให้คะแนนตัวอ่อนของ Istanbul Consensus Scoring System…